13 เหตุผล ทีทำให้ชีวิต ม.6 เป็นที่สุดของที่สุด^^***

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 08, 2553 / เขียนโดย เพ็ญพรรณ มาเนตร /



1.แก่ที่สุด
ถ้านับเฉพาะนักเรียน และไม่รวมผอ. ครูอาจารย์ นักการภารโรง
ม.6 ก็ต้องแก่ที่สุดในโรงเรียนแน่นอน
แต่จะแก่ความรู้หรืออยู่นาน
อันนี้ต้องแล้วแต่ตัวบุคคล


2.เครียดทีสุด
บางคนบอกว่า Entrance ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
แต่ สำหรับ ม.6
ถึงไม่ใช่ทั้งหมด ก็ เข้าใกล้ทั้งหมดเหมือน
limit เข้าสู่ x ไม่ใช่ x แต่เข้าใกล้ x ยังไงหยั่งงั้น
ไหนจะบรรดาครูอาจารย์ ญาติโกโหติกา พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง
ที่คอยให้กำลังใจ(เชิงกดดัน)อีก
ม.6ไม่เครียดก็แปลกแล้ว

3.ขยันที่สุด
อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน
เมื่อเครียด อยากเอนท์ติด
แล้วมานั่งแต่งฟิก วาดรูป สูบอาร์ต เนี่ย มันจะติดมั้ย
ม.6 มันก็ต้องขยันเซ่
อ่านเข้าไปๆๆ อ่านให้ตายๆๆ^^


4.เก่งที่สุด
เนื่องจากแก่
จึงมีโอกาสถูกยัดความรู้ใส่หัวมากกว่าบรรดาศิษย์น้อง
เนื่องจากขยัน
กรรมดีนั้นจึงตกอยู่กับผู้กระทำ


5.ชีพจรลงเท้าที่สุด
หมายความว่า มีอันจะต้องเดินทางบ่อยมากๆ
+ไม่ว่าจะงานราษฎ์
ไปสอบรับตรงที่แต่ละคณะ ขยันเปิดสอบ
+ไม่ว่าจะงานหลวง
ไปสอบแข่งขันทางวิชาการ
เลยไม่เป็นอันได้อยู่บ้าน และไม่ได้ไปร.ร.กัน


6.เรียนพิเศษเยอะสุด
เมื่อมาถึงม.6แล้ว
ก็แทบจะเรียนไม่ทันการสอบที่มีมากมายกัน
แต่ละคนจึงเรียนพิเศษกันอย่างขันแข็ง
เพื่อจะได้ทันสอบ
หมดกันไปคนละหลายบาท
แต่ยังไงเราก็ยังยอมทุ่มทุน

7.สิวเยอะที่สุด
เรื่องสิวๆ ที่ไม่ใช่แค่สิว
เพราะมันเป็นดัชนีบ่งชี้ความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นของม.6
ด้วยเรื่องนู้น เรื่องนี้ที่ประดังประเดเข้ามา
ไหนจะเวลานอนที่บั่นทอนไปอ่านหนังสือ
หน้าบางคนที่เคยใสเลยสิวขึ้นได้่ง่ายๆ


8.ตื้นเต้นที่สุด
ตื่นเต้นอะไรหรือจะสู้ รู้ผลเอนท์
ม.6ย่อมต้องอยากรู้อยู่แล้ว
ว่าที่ลงทุนลงแรงไปทั้งหมดน่ะ
เพียงพอจะซื้อ ประตูสู่อนาคตที่สดใสรึเปล่า
ตอนประกาศผลรับตรงนี่
ถึงกับกินข้าวไม่ลงกันเลยทีเดียวเชียว

9บ้ากล้องที่สุด
อันนี้คิดว่าเป็นทุกคน
พอใกล้จะเรียนจบ เราก็อยากเก็บความทรงจำดีๆเอาไว้
ไหนจะรูปสถานที่ต่างๆในร.ร.
ไหนจะรูปเพื่อน รูปครู
เพราะไม่รู้จะเจอกันอีกเมื่อไหร่
เลยต้องระดม ถ่ายๆๆๆๆๆ
ประมาณว่า มูลค่ากล้องถ่ายรูปทั้งสายชั้นรวมกัน
แทบจะสร้างห้องสมุดใหม่ให้ร.ร.ได้
(อันนี้ก็เวอร์ไป)


10.แอ๊บแบ๊วที่สุด
เมื่อ แก่ มาก
และอยาก ถ่ายรูป มาก
ก็เลยต้อง แอ๊บ มาก
เพื่อให้ แบ๊ว มาก


11.ซาบซึ้งที่สุด
งานปัจฉิมนิเทศน์ คงจะรู้กันดี
ว่า [วินาทีที่จุดจบของอดีตและจุดเริ่มของอนาคตเดินทางมาบรรจบกัน] นั้น
บรรยากาศมันซาบซึ้งใจ แค่ไหน


12รัก (เพื่อน- ครู - ร.ร.)ที่สุด
คนเรามักจะรู้ค่าสิ่งใกล้ตัวที่มีอยู่ ก็ต่อเมื่อกำลังจะเสียมันไป
เพราะว่า จะไม่มีอีกแล้ว
ถึงได้รู้ว่ารักมากแค่ไหน
ร.ร.ที่เคยบ่น ก็รู้สึกภาคภูมิ
อาจารย์ที่เคยนินทา ก็ได้รู้สึกเคารพ
เพื่อนที่เคยทะเลาะ ก็ได้คืนดี
เพราะ จะไม่มีอีกแล้ว
จึงต้องรักษาช่วงเวลาสุดท้าย ให้กลายเป็นความทรงจำที่ดี

13...คิดถึงที่สุด...
เพราะรัก จึงคิดถึง

ทำไมตากฝนแล้วถึงเป็นหวัด

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 08, 2553 / เขียนโดย เพ็ญพรรณ มาเนตร /



เคยสงสัยไหมว่า เวลาตากฝน โดยเฉพาะเวลาศีรษะเปียกฝนแล้ววันต่อมาเริ่มมีอาการของหวัด เช่น มีอาการจาม คัดจมูก หรือน้ำมูก วันนี้เรามีคำอธิบาย และมีคำแนะนำเวลาตากฝน
โรคหวัด ก็คือโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากไวรัส มีไวรัสเป็นร้อยชนิดที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้ ไวรัสเหล่านี้กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศแล้วก็ตกลงอยู่ทีพื้น หรือเกาะอยู่ตามฝุ่น
ไวรัสเหล่านี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน ในช่วงปกติเราก็จะสัมผัสกับไวรัสเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากปริมาณมีไม่สูงรวมทั้งภูมิต้านทานของร่างกาย และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจึงไม่เป็นโรคหวัด ก่อนฝนตกมักจะมีกระแสลมที่แรงลมเหล่านี้ จะพัดให้ไวรัสให้ฟุ้งกระจายปริมาณมาก หากเราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนฝนตกโอกาส ที่จะสัมผัสไวรัสในปริมาณมากก็มีมากขึ้น
ดังนั้น พยายามอย่าอยู่ในที่โล่งแจ้งโดยเฉพาะเวลาก่อนฝนตกหรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกในช่วงเวลานั้นก็ได้ หากเราตากฝน ศีรษะของเราก็จะเปียกฝน เชื้อโรคไม่ได้เข้าทางศีรษะนะแต่การที่ศีรษะเปียกฝนจะมีผลทำให้อุณภูมิที่พื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสมสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ประกอบกับการสัมผัสเชื้อไวรัสปริมาณมากช่วงก่อนฝนตกก็เลยทำให้มีไวรัสจำนวนมากบริเวณเยื่อบุจมูก ภูมิต้านทานของร่างกาย จึงไม่อาจต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้อีกต่อไปก็เลยเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก เกิดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูก รวมทั้งเกิดการสร้างสารคัดหลั่งมากขึ้น ซึ่งก็คือน้ำมูกนั่นเอง หากเชื้อไวรัสลุกลามไปที่ลำคอ ก็จะทำให้เกิดคออักเสบตามมาได้
นอกจากศีรษะที่เปียกฝน ที่มีผลต่ออุณหภูมิในจมูกแล้วอุณหภูมิบริเวณมือและเท้า ก็มีผลด้วยเช่นเดียวกันการที่รองเท้าเราเปียกน้ำ และต้องแช่อยู่ในนั้นนานๆก็มีผลทำให้อุณภูมิในจมูกลดลง นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้
วิธีการป้องกัน
ไม่ให้เกิดหวัดเวลาศีรษะเปียกฝนก็คือ หลบฝนในที่ร่มเสียก่อน รอจนฝนหยุด แล้วค่อยเดินทางต่อ ใช้ร่มเพื่อบังศีรษะของเราไว้ หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งเมื่อมีโอกาส ถ้าจะให้ดี สระผมไปเลยก็ได้แล้วเช็ดหรือเป่าให้แห้งโดยเร็วรีบทำให้ร่างกายอบอุ่น อาจแช่เท้าทั้งสองข้างในน้ำอุ่น เพื่อช่วยเปลี่ยนอุณหภูมิที่พื้นผิวของจมูกทำให้ไม่เหมาะต่อการแบ่งตัวของเชื้อโรครับประทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ส้ม วิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างเซลและเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้

ทำไมเราจึงเห็นน้ำทะเลเป็นสีฟ้า

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 03, 2553 / เขียนโดย เพ็ญพรรณ มาเนตร /


วัตถุแต่ละชนิดมีการสะท้อนและดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงคลื่นแตก ต่างกัน ค่าการสะท้อนเชิงคลื่นของแต่ละวัตถุนี้เรียกว่า "ลายเซ็นการสะท้อนเชิงคลื่น (spectral reflectance signature)" ซึ่งเป็นลักษณะที่ใช้แยกความแตกต่างของวัตถุแต่ละชนิด เช่น ค่าการสะท้อนแสงของน้ำโดยทั่วไปจะต่ำ แต่จะมีการสะท้อนสูงที่ปลายคลื่นน้ำเงิน ซึ่งทำให้น้ำใสจะปรากฏเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดินจะมีค่าการสะท้อนสูงกว่าพืชไปจนถึงช่วงคลื่นอินฟราเรด ค่าการสะท้อนของดินขึ้นอยู่กับส่วนผสมของดิน ตัวอย่างดินที่แสดงในภาพจะปรากฏเป็นสีน้ำตาล ส่วนพืชจะมีค่าการสะท้อนแสงที่แตกต่างดินและน้ำ คือ ค่าการสะท้อนจะต่ำในช่วงคลื่นน้ำเงินและแดง ในขณะที่จะมีค่าการสะท้อนสูงที่ช่วงคลื่นเขียวและช่วงคลื่นใกล้อินฟราเรด หรือ

1. น้ำทะเลสะท้อนแสงจากท้องฟ้า ซึ่งมีสีฟ้า และจะเห็นว่า ถ้าวันไหนเมฆเยอะ ทะเลจะสีไม่ฟ้ามากนัก

2. น้ำทะเลเองก็กระเจิงแสงในทำนองเดียวกับท้องฟ้า ซึ่งเมื่อแสงกระเจิงจากอนุภาคที่ขนาดเล็กกว่าความยาวคลื่น แสงสีน้ำเงินซึ่งความยาวคลื่นต่ำจะกระเจิงได้ดีที่สุด ในขณะที่แสงสีแดงซึ่งความยาวคลื่นมากจะกระเจิงได้น้อย ทำให้เมื่อลงไปอยู่ในน้ำทะเล ก็ยังคงเห็นน้ำเป็นสีฟ้า เพราะแสงสีน้ำเงินกระเจิงเข้าตามากที่สุดนั่นเอง

ดร.ไซมอน บ็อกซอลล์ แห่งสถาบัน National Oceanography Centre ในเซาธ์แฮมตัน อธิบายว่า คลอโรฟิลล์จะดูดซับสีน้ำเงินและสีแดงจากคลื่นแสง และสะท้อนสีเขียวออกมาซึ่งก็คือสิ่งที่เราเห็นนั่นเอง

ฉะนั้น ในที่ซึ่งน้ำทะเลอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไฟโตแพลงก์ตอน และแสงสีน้ำเงินถูกดูดซึมไปเป็นส่วนใหญ่ เราจึงจะเห็นน้ำทะเลเป็นสีเขียว แต่ในที่ซึ่งมีไฟโตแพลงก์ตอนน้อยกว่า และแสงสีน้ำเงินไม่ได้ถูกดูดซับไปจนหมด ทะเลจึงดูเป็นสีน้ำเงินอย่างที่เราเห็น

เลขนำโชค

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 01, 2553 / เขียนโดย เพ็ญพรรณ มาเนตร /


ณ ผับแห่งหนึ่ง ลุงคนหนึ่งกำลังคุยกับเพื่อน


"ชีวิตข้านี่ผูกพันกับเลข 5 ตลอดเลย


ข้าเกิดวันที่ 5 เดือน 5


อยู่บ้านเลขที่ 55/5


ในวันที่ข้าอายุครบ 55 ปี ข้าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 5


ข้าก็เลยเอาเงินไปแทงม้า ข้าเลือกม้าเบอร์ 5 เที่ยวที่ 5"


"คงรวยเละละสิ" เพื่อนถาม


"หมดตูดเลย ไอ้ม้านั่นดันเข้าเส้นชัยเป็นตัวที่ 5"

ป้ายกำกับ: